กองบรรณาธิการ

ดร.พัชราภรณ์ วงษา ผู้อำนวยการโปรแกรมบริหารโภชนเภสัชภัณฑ์และเวชสำอางและ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและการลงทุน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2568 TCELS มีนโยบายในการสนับสนุนด้านการวิจัยพัฒนา รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีจำนวน 300 ล้านบาท โดยมุ่งเน้น 5 ด้านหลักประกอบด้วย 1. เครื่องมือแพทย์ ในรูปแบบดิจิทัลฟอร์ม หรือ Medical AI ด้านที่ 2 ยา และเครื่องมือแพทย์โดยเน้นยาที่มีศักยภาพในการรักษามากยิ่งขึ้น เช่น ยาชีววัตถุ ด้านที่ 3 เรื่องจีโนมิกส์ หรือ การแพทย์จีโนมิกส์ ซึ่งเป็นเรื่องการแพทย์แม่นยำสามารถตรวจยีนส์และวินิจฉัยได้ว่า เมื่อมีตรวจแล้วมีความเสี่ยงในเรื่องของการเป็นโรคอะไร 4. เรื่อง Natural product จะเน้นเรื่องของสมุนไพร กลุ่มสมุนไพรเวชสำอาง และยาที่พัฒนาจากสมุนไพร และด้านที่ 5 จะเป็นเรื่องของ Digital Health โดยมี เทคโนโลยี AI ร่วมด้วย
อย่างไรก็ตามในการสนับสนุนนั้น TCELS มีกลไกลในการสนับสนุน 2 ส่วน ประกอบด้วย การให้ทุนกับเอกชน เช่น การให้ทุนในการเฟ้นหานวัตกรรมทางการแพทย์ที่ตอบโจทย์ของตลาด และประชาชน โดยจะให้ทุนเพื่อจะให้ภาคเอกชนสามารถทำวิจัยทางคลินิกที่ทำกับคน เพื่อพิสูจน์ว่ามีความปลอดภัย เป็นต้นและการส่งเสริมการเข้าสู่ตลาดทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ
“ภาพรวม ทุนที่เราน่าจะอยู่ที่ 300 กว่าล้านบาทต่อปี และมีการสนับสนุนทุนด้านการพัฒนาสาธารณสุขด้วยเอไอหรือ เอไอทางการแพทย์ และนวัตกรรมด้านสาธารณสุข อาทิ โครงการรากฟันเทียม ถุงทวารเทียม เท้าเทียมไดนามิก น้ำตาเทียม วัคซีนไอกรน เป็นต้นมากกว่า 50%และที่เหลือจะมีการสนับสนุนในเรื่อง Natural Product เรื่องของ Digital Health เป็นต้น” ดร.พัชราภรณ์ กล่าว
ด้านว่าที่ร้อยเอก เภสัชกร ดร.วฤษฎิ์ อินทร์มา ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและการลงทุน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันการเติบโตของอุตสาหกรรมเอไอทั่วโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 35-45 % ต่อปี
สำหรับการเติบโตของเอไอในประเทศไทย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
1. เอไอกลุ่มที่มีการเติบโตสูง หรือ High growth เป็นการนเทคโนโลยีที่นำเอาข้อมูลที่มีอยู่แล้วมาวิเคราะห์
2. การลงทุนระบบที่มีการนำเทคโนโลยีที่ต่างๆ ที่ยังไม่เชื่อมต่อกันให้สามารถเชื่อมต่อกันได้
3. การลงทุนด้านดาต้าเบส หรือฐานข้อมูลจีโนม ซึ่งสามารถนำเอไอมาช่วยในการรักษาคนในรูปแบบ Personal medicine เพื่อให้เกิดการรักษาที่ดีที่สุด ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 3-5 ปี อย่างไรก็ตามทุกภาคส่วนจะต้องมีการบูรณาการและรัฐจะร่วมลงทุนในการสร้างดาต้าเบส ขณะที่เอกชนจะลงทุนในส่วนของกลุ่มเอไอที่มีการเติบโตสูงและการลงทุนในระบบต่างๆ
ทั้งนี้ในส่วนของการลงทุนภาครัฐจะมีการจัดตั้ง Genomics Thailand หรือ จีโนมิกส์ประเทศไทย เป็นโครงการวิจัยด้านสุขภาพ เพื่อรวบรวมและสร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมขนาดใหญ่ของคนไทย เพื่อให้นักวิจัยใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการศึกษาวิจัยในอนาคตเกี่ยวกับสุขภาพของคนไทย นอกจากนี้เป็นการเก็บข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์ของ กสทช. และข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย ในเรื่องสวัสดิการ และการบริโภคของคนไทย
ดร.พงษธร โชติเกษมศรี คณะกรรมการ สมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย กล่าวว่า เอไอทางด้านสาธารณสุขและ สุขภาพจะเข้ามาอยู่มาทุกส่วนตั้งแต่การจัดการโรงพยาบาล การจัดการคิว การวินิจฉัยโรคต่างๆ รวมถึงการดูแลสุขภาพหลังนากออกจากโรงพยาบาล ดังนั้นจะต้องฝึกการใช้เอไอและเรียนรู้ที่จะใช้เอไอ ขอบเขตการทำงาน เรียนรู้ในเรื่องความปลอดภัย รวมถึงกฎหมายในประเทศไทยด้วย
“เมืองไทยเร่ิมมีผู้เชี่ยวชาญด้านเอไอมากขึ้น เอไอหลายตัวเริ่มผ่านมาตรฐานมากขึ้น ในอนาคตจะมีเอไอที่เหมาะกับการใช้งานทางการแพทย์มากขึ้น
การลงทุนด้านไอเอในประเทศไทยมีมากขึ้น และจะต้องมีดาต้าเซตมากขึ้น เพื่อนำมาใช้เทรนเอไอเพื่อทำให้เกิดความแม่นยำมากขึ้นและเอไอเป็นเครื่องมือที่จะสามารถก้าวออกไปสู่ตลาด ต่างประเทศได้” ดร.พงษธร กล่าว
วีระชาติ ศรีบุญมา ผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย ด้านการเงิน การธนาคาร ระบบชำระเงิน ตลาดทุน และสินทรัพย์ดิจิทัล กล่าวว่า ความปลอดภัยด้านเอไอ เป็นความสำคัญ เอไอเข้าไปอยู่ในทุกกระบวนการ เช่น ด้านการเงิน สังคม เศรษฐกิจ เอไอมีความสำคัญมนการประมวลภาพประมวลผลทั้งหมด อย่างไรก็ตามข้อจำกัด การจำกัด ด้านความเสี่ยงเอไอ รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับเป็นพิเศษ เนื่องจาก เกิดอาชญากรรมด้านเทคโนโลยีมีมากขึ้น และระบบการเงินเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมมาสู่เงินดิจิทัล ทำให้กระบวนการรักษาความปลอดภัยยากขึ้น ขณะนี้มีการร่างกฎหมายการเยี่ยวยาความเสียหายจากการใช้เอไอ สามารถจบในชั้นสอบสวน โดยมีออกการพระราชกำหนดมาตราการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2568 ฉนั้นเอไอเป็นหนึ่งในอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี ในมาตรา 3 และสามารถเยียวยาประชาชนโดยที่คดีไม่ต้องขึ้นสู่ศาล
#AI #เอไอ #TCELS #ThaiSMEs