กองบรรณาธิการ

จากการจัดกิจกรรม Dinner Talk ในหัวข้อ “ความท้าทายของอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล” (Challenges in Life Sciences Industry During Government Transition) โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(องค์การมหาชน) หรือ TCELS ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายหน่วยงานภาครัฐในการส่งเสริมสนับสนุน การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของผู้ประกอบการนวัตกรรมไทยสู่ตลาดไทยและต่างประเทศ

ว่าที่ร้อยเอก วฤษฎิ์ อินทร์มา ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและการลงทุน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS กล่าวว่า การจัดกิจกรรม Dinner Talk ในครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ของไทยรวมถึงการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายของหน่วยงานภาครัฐในการส่งเสริมพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ของประเทศ โดยกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้เป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการธุรกิจในอุตสาหกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยธุรกิจยา ธุรกิจเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ธุรกิจเครื่องสำอาง และธุรกิจให้บริการทางการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งสามารถสร้างเครือข่ายที่ดี ตลอดจนพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งในแง่มุมของธุรกิจ รับฟังและแลกเปลี่ยนความเห็น อันจะเสริมความแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตกับอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ไทยได้ต่อไป

ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่27ของไทยและ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ของไทยมีศักยภาพสูง ปัจจุบันมีอัตราการเติบโตที่สอดคล้องกับสังคมที่เป็นสัฃคมสูงวัยมากขึ้น มีการต้องการบริการใหม่ๆ มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ตอบโจทย์เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจำนวนมาก มีบุคลากรทางด้านสาธารณาสุขที่มีคุณภาพ อย่างก็ตามจะต้องทลายอุปสรรค อาทิ กฎระเบียบ การขาดแคลนทักษะบางทักษะการเชื่อมโยงกระบวนการของการวิจัยไปสู่กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จนถึงการระดมทุน การตลาดซึ่งจะต้องมีกติกาของรัฐที่ชัดเจนหากประเด็นเหล่านี้ถ้าสามารถที่จะจัดระบบให้ดีได้ จะทำให้อุตสาหกรรมนี้เป็นเครื่องจักรสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

ดร.ปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า นโยบายของ สสว. ส่งเสริมเอสเอ็มอี มีงบประมาณ เงินทุนช่วยต่อยอด เอสเอ็มอี มีโครงการต่างๆ เช่นการช่วยลดต้นทุน การขยายโอกาสและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ในปีนี้ สสว. มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนเอสเอ็มอีโดยเน้นใน 3 เรื่อง ประกอบด้วยสร้างรายได้ ขยายโอกาส เสริมแกร่งธุรกิจ ภาคการผลิต นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการจากเอสเอ็มอี โดยเอสเอ็มอีที่ลงทะเบียนกับ สสว. แล้วและเข้ามาอยู่ในระบบของกรมบัญชีกลาง เมื่อมีการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เอสเอ็มอี จะได้แต้มต่อ 10-15% โดยได้แต้มต่อ 15% ในกรณีที่เป็น เอสเอ็มอีที่ผลิตสินค้า made in Thailand และ 10% ในกรณีที่เป็น เอสเอ็มอีธรรมดาและหากภาครัฐมีการจัดซื้อจัดจ้างไม่เกิน 500,000 บาท ภาครัฐจะต้องเลือกเอสเอ็มอีก่อน เป็นรายแรก ก่อนที่จะไปเลือกรายใหญ่
เป็นสิทธิพิเศษสำหรับเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ ในปีที่ผ่านมามีการจัดซื้อจัดจ้างเอสเอ็มอีประมาณ 700,000 ล้านบาทจากการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยรวมทั้งประเทศจำนวนล้านล้านบาท
นอกจากนี้ สสว. ยังมีบริการ Business Development Service หรือ BDS ซึ่งเป็นบริการที่ช่วยเอสเอ็มอีชำระค่าจดทะเบียนหรือขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ โดย สสว. ช่วยเอสเอ็มอี ที่มีค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนต่างๆประมาณ 50-80%ในวงเงินไม่เกิน 2 แสนบาทต่อปีต่อราย เป็นต้น
ดร.ปณิตา กล่าวต่อว่า สสว.ยังมีบริการเงินกู้สำหรับเอสเอ็มอีที่ต้องการทรานฟอร์มธุรกิจ อาทิ การทรานฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัล AI ธุรกิจสีเขียว เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อช่วยธุรกิจลดปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยสามารถให้เอสเอ็มอีกู้ เงินได้ไม่เกิน 10 ล้านบาทดอกเบี้ย 1%
นอกจากนี้ สสว. สนับสนุนเอสเอ็มอีในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ นวัตกรรมต่างๆ มีการจัดMatching ระหว่างสตาร์ทอัพกับเอสเอ็มอี ทางด้าน เครื่องมือแพทย์ เครื่องสำอางผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงส่งเสริมให้เอสเอ็มอีไปออกตลาดใหม่ เช่น ตลาดประเทศแถบแอฟริกา ดูไบ เป็นต้น
“สสว. ให้การสนับสนุนเอสเอ็มอีโดยเฉพาะธุรกิจเครื่องมือแพทย์เป็น
เซคเตอร์ใหญ่เราให้การสนับสนุนค่อนข้างเยอะ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ มีแต้มต่อให้เอ็มอี ทุกรัฐบาลส่งเสริมเอสเอ็มอีถือว่าเป็นปัจจัยหลักในการส่งเสริมขับเคลื่อนประเทศ ธุรกิจเอสเอ็มในประเทศทั้งหมด 3.2 ล้านราย นับเป็น 99.5 % ของจำนวนธุรกิจในประเทศ” ดร.ปณิตา กล่าว

ด้านดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า NIA มีโครงการและกิจกรรมที่หลากหลายในการสร้างส่งเสริม และสนับสนุน ผู้ประกอบการ ทั้งที่เป็นวิสาหกิจเริ่มต้นหรือสตาร์ทอัพ(Startup) และกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ผ่านบริการ (Service) ทั้งในรูปแบบการให้เงินทุนสนับสนุน (Financial Support) การพัฒนาเครือข่ายธุรกิจ(Business Networking) และองค์ความรู้นวัตกรรม (Innovation Intelligence)
นอกจากนี้ยังร่วมกับโรงเรียนแพทย์เพื่อเชื่อมเป็นเครือข่ายในด้านการวิจัยพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงอุตสาหกรรมทางด้านชีววิทยาศาสตร์ เพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมทางด้านชีววิทยาศาสตร์สามารถนำมาใช้ในประเทศและลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ รวมถึงร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านบริการทางการแพทย์ หรือ Medical Hub
“NIA พร้อมสนับสนุนพัฒนาผู้ประกอบการ ปลดล็อกการทำธุรกิจ ทางการแพทย์เครื่องมือแพทย์ เราต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปต่างประเทศ ผ่านสินค้าบริการ ธุรกิจนวัตกรรม โดยเพิ่มจำนวนบริษัทนวัตกรรมดึงบริษัทขนาดใหญ่มาเน้นนวัตกรรม มากขึ้น
ธุรกิจของไทยจะมีขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น เราร่วมกับโรงเรียนแพทย์ในการวิจัยพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ เราอยากจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและอยากให้ประเทศไทยเป็น Medical Hub เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ใหม่ๆออกสู่ตลาด” ดร.กริชผกา กล่าว
#ความท้าทายของอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล#ChallengesinLifeSciencesIndustryDuringGovernmentTransition #TCELS #NIA #สสว. #ThaiSMEs